เนื้องอกที่ไต เป็นเรื่องที่พบบ่อยมากขึ้นในสังคมปัจจุบัน เนื่องมาจากการเข้าถึงการตรวจสุขภาพที่ง่ายขึ้น เครื่องมือทางรังสีในการวินิจฉัยทันสมัย การตรวจคัดกรองหรือการวินิจฉัยจึงแม่นยำมากขึ้น ซึ่งเนื้องอกที่พบนั้นมีทั้งที่ไม่ใช่มะเร็งและเนื้องอกมะเร็ง
เนื้องอกที่ไตชนิดไม่ร้าย ที่พบบ่อยคือถุงน้ำที่ไต ส่วนใหญ่ไม่อันตราย มักพบจากการตรวจอัลตราซาวด์โดยบังเอิญ ไม่ต้องทำการรักษา แต่ยังมีความจำเป็นต้องประเมินความเสี่ยงของมะเร็งไตที่ซ่อนอยู่ในถุงน้ำที่ไตบางชนิดซึ่งการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จะสามารถแยกถุงน้ำได้ออกเป็นหลายชนิด และสามารถแยกก้อนเนื้อออกได้ชัดเจน
เนื้องอกที่ไตชนิดไม่ร้ายอื่น ๆ ที่พบบ่อยคือ Angiolipoma (AML) เนื้องอกของไขมันหลอดเลือดและกล้ามเนื้อเรียบ เนื้องอกชนิดนี้มักจะมีการฉีกขาดของหลอดเลือดเมื่อขนาดใหญ่กว่า 4 ซม. ทำให้เกิดอันตรายและภาวะแทรกซ้อนได้ จึงต้องทำการรักษาโดยการผ่าตัดออกหรือทำให้ฝ่อลง แต่ถ้าขนาดเล็กใช้วิธีการเฝ้าระวังขนาดเป็นระยะ ๆ โดยอัลตราซาวด์
เนื้องอกร้ายที่ไต “มะเร็งไต” เป็นโรคที่พบได้ไม่มากเมื่อเทียบกับมะเร็งอื่นๆ โดยพบผู้ป่วยมะเร็งไต 1.6 รายต่อประชากรแสนคน โดยพบผู้ป่วยเพศชายมากกว่าเพศหญิง และมักพบโรคนี้ในผู้ป่วยอายุ 50-70 ปี อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะพบโรคมะเร็งไตน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอันตราย เซลล์เหล่านี้จะแบ่งตัวอย่างควบคุมไม่ได้และหากไม่ได้รับการรักษาก็จะแพร่กระจายออกไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น ปอด และกระดูก
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งไต
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคมะเร็งไต แต่พบว่าปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้เพิ่มโอกาสในการเกิดโรคได้
- อายุ ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มอายุที่พบมากคือช่วงอายุ 50-70 ปี
- เพศ พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2 เท่า
- สูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคมะเร็งไตมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ และ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยมะเร็งไตมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่
- โรคอ้วน
- โรคความดันโลหิตสูง
- ผู้ป่วยภาวะไตวายเรื้อรังที่ต้องฟอกเลือดต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- มีโรคทางพันธุกรรมบางอย่าง ซึ่งเป็นความผิดปกติหรือการกลายพันธุ์ของยีนบางชนิด
- มีบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคมะเร็งไต
- การสัมผัสสารเคมีหรือสารพิษบางชนิดต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น แร่ใยหิน และแคดเมียม
อาการของโรคมะเร็งไต
โรคมะเร็งไตในระยะแรกมักไม่มีอาการใดๆ พบว่าประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยโรคมะเร็งไตพบระหว่างการตรวจสุขภาพประจำปี หรือการตรวจร่างกายเพื่อภาวะทางการแพทย์อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง จนกระทั่งก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้น อาการของโรคจึงปรากฏให้เห็น ซึ่งได้แก่
- ปัสสาวะมีเลือดปน โดยสีของปัสสาวะจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู แดง หรือน้ำตาล
- ปวดบริเวณบั้นเอว
- คลำพบก้อนบริเวณชายโครง
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- มีไข้เรื้อรัง
การวินิจฉัยโรคมะเร็งไต
แพทย์วินิจฉัยโรคมะเร็งไตได้โดยการสอบถามอาการ ประวัติครอบครัวและประวัติการเจ็บป่วย ร่วมกับการตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการ อื่นๆ ได้แก่
- การตรวจเลือดและตรวจปัสสาวะ
- การตรวจภาพไตด้วยการอัลตราซาวด์, การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT SCAN) หรือการตรวจโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อหาก้อนเนื้องอกหรือความผิดปกติอื่นๆ ในไต ซึ่งการตรวจภาพไตมักให้ข้อมูลที่เพียงพอว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งหรือไม่โดยไม่จำเป็นต้องตรวจชิ้นเนื้อ
- การตรวจชิ้นเนื้อ (BIOPSY) สำหรับผู้ป่วยบางรายที่การตรวจด้วยภาพไม่ชัดเจนเพียงพอ แพทย์อาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัดเพื่อนำตัวอย่างเนื้อเยื่อจากก้อนเนื้องอกหรือจากบริเวณที่สงสัยมาตรวจ
- ในกรณีที่พบเซลล์มะเร็ง แพทย์จะตรวจเพิ่มเติมเพื่อประเมินระยะของโรค เช่น เอกซเรย์ทรวงอก และตรวจกระดูก (bone scan) เพื่อดูว่ามะเร็งลุกลามไปยังปอดและกระดูกหรือไม่ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
การรักษาโรคมะเร็งไต
ในการรักษาโรคมะเร็งไตนั้น แพทย์จะกำหนดวิธีการรักษาโดยคำนึงถึงชนิดและระยะของมะเร็ง รวมถึง ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย เช่น อายุ สุขภาพร่างกายโดยรวม และความต้องการของผู้ป่วย โดยแนวทางหลักในการรักษามะเร็งไต ได้แก่ การผ่าตัด การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด รังสีรักษา การรักษาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง และการให้ยาเคมีบำบัด
การผ่าตัด เป็นการรักษาหลักที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายขาดได้ในกรณีที่มะเร็งยังไม่แพร่กระจายออกนอกไต โดยสามารถทำได้ 2 ลักษณะ ขึ้นอยู่กับระยะ ขนาด และตำแหน่งของก้อนมะเร็ง
- การผ่าตัดเอาเนื้อไตออกทั้งหมด (RADICAL NEPHRECTOMY) เป็นการตัดไตข้างใดข้างหนึ่งออกทั้งหมด และอาจรวมถึงบริเวณโดยรอบซึ่งได้แก่ ต่อมหมวกไต ต่อมน้ำเหลือง และเนื้อเยื่อไขมัน
- การผ่าตัดเอาเนื้อไตออกบางส่วน (PARTIAL NEPHRECTOMY) เป็นการผ่าตัดเอาเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้องอกร้ายออก ใช้ในกรณีที่ก้อนมะเร็งยังมีขนาดเล็ก และแพทย์พิจารณาแล้วว่าเนื้อไตส่วนที่เหลือยังสามารถทำหน้าที่ได้
ทั้งนี้ การผ่าตัดรักษามะเร็งไตทำได้ 2 วิธี คือ
- การผ่าตัดเปิดหน้าท้องแบบดั้งเดิม วิธีนี้ผู้ป่วยอาจเสียเลือดมากและเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากแผลผ่าตัดที่มีขนาดใหญ่ รวมถึงต้องใช้เวลาพักฟื้นนานถึง 8-12 สัปดาห์
- การผ่าตัดแบบแผลเล็กด้วยวิธีการส่องกล้อง (laparoscopy) หรือการใช้แขนกลช่วยผ่าตัดด้วยระบบดาวินชี (robotic–assisted da Vinci surgical system) ซึ่งเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และปลอดภัยให้กับการผ่าตัดที่มีความซับซ้อนในบริเวณที่เข้าถึงได้ยาก โดยเฉพาะไตซึ่งเป็นอวัยวะที่อยู่ลึกและมีลำไส้ซ้อนอยู่ ทั้งยังอยู่ใกล้หลอดเลือดแดงขนาดใหญ่ ทำให้ศัลยแพทย์ต้องใช้ความแม่นยำอย่างมาก นอกจากนี้ แขนกลหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดยังให้ผลดีกับผู้ป่วย คือ
- ใช้เวลาในการผ่าตัดน้อยลง ผู้ป่วยจึงเสียเลือดน้อย
- ลดภาวะแทรกซ้อนภายหลังการผ่าตัด เช่น ลดการติดเชื้อของแผลผ่าตัด ลดการกระทบกระเทือนต่ออวัยวะหรือเนื้อเยื่ออื่นรอบๆ ไต
- ผู้ป่วยเจ็บตัวน้อยลง ใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลน้อยลง และฟื้นตัวเร็วขึ้น
- รอยแผลเป็นจากการผ่าตัดมีขนาดเล็กมาก
การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (immunotherapy หรือ biological therapy) เป็นการรักษาโดยอาศัยหลักการทำงานของภูมิคุ้มกัน คือ เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะถูกกระตุ้นให้ทำการกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นออกจากร่างกาย โดยแพทย์จะใช้ยาที่ส่งเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานเพื่อให้สามารถกำจัด หรือควบคุมเซลล์มะเร็งในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีนี้จะใช้ในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายออกนอกไตหรือ มะเร็งไตที่กลับมาเป็นซ้ำ
รังสีรักษา เป็นการใช้รังสีพลังงานสูงทำลายสารพันธุกรรม (DNA) ภายในเซลล์มะเร็งเพื่อหยุดยั้งการเจริญเติบโตและทำให้เซลล์มะเร็งตายไปในที่สุด รังสีรักษามักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาสุขภาพจนไม่สามารถผ่าตัดได้ หรือใช้ร่วมกับวิธีการรักษาอื่นๆ เพื่อบรรเทาอาการที่เกิดจากโรค เช่น อาการปวด มีเลือดออก หรืออาการอื่นๆ ที่เกิดจากการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะการแพร่กระจายไปยังกระดูกและสมอง
การรักษาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy) เป็นการรักษาโดยให้ยาหรือสารไปยับยั้งกระบวนการส่งสัญญาณระดับเซลล์ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเจริญเติบโตและแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง โดยปัจจุบันยาที่ใช้มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งทำให้มะเร็งแพร่กระจาย และกลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งกลไกภายในเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของมะเร็ง
การให้ยาเคมีบำบัด เป็นการให้ยาเพื่อทำลายหรือหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยมะเร็งไตมักไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัด วิธีนี้จึงไม่ใช่วิธีหลักในการรักษาแต่แพทย์อาจเลือกใช้หากใช้วิธีรังสีรักษา และการรักษาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็งแล้วไม่ได้ผล
การป้องกันโรคมะเร็งไต
โรคมะเร็งไตสามารถป้องกันได้โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค อาทิ
- งดสูบบุหรี่
- ควบคุมน้ำหนัก
- ควบคุมความดันโลหิต
- หลีกเลี่ยงหรือป้องกันตัวเองจากสารเคมีหรือสารพิษที่เป็นสารก่อมะเร็ง โดยการสวมหน้ากากป้องกัน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมะเร็งไตยังเกิดจากปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพราะยิ่งตรวจพบเร็วก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการรักษาโรคให้หายขาดมากขึ้น